top of page

สัญญาอาถรรพ์

“โห ก็ไม่ได้แย่อย่างที่เขาพูดกันนี่นา..”

ชายหนุ่มคนหนึ่งพึมพัมขึ้นมา ขณะมองไปที่บ้านเก่าสองชั้น ที่ขณะนี้มีพนักงานขนย้ายกำลังช่วยกันยกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆเข้าไปในบ้านนั้น

“เฮ้ พ่อหนุ่ม อย่ามัวแต่กินแรงพวกลุงสิ มาช่วยกันยกของหน่อยสิ”

เสียงคนที่ดูมีอายุร้องเรียก ชายหนุ่มจึงรีบไปช่วย ก่อนที่จะพูดหยอกๆว่า..

“แหม คุณลุงครับ ถึงผมจะได้ลดราคาเพราะเป็นหลานของคุณลุงก็เถอะ แต่ยังไงผมก็เป็นลูกค้าของลุงนะครับ?”

“ฮ่าๆๆ อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลยน่า คิดซะว่า ลุงช่วยหลานย้ายของเข้าบ้านใหม่ แล้วหลานก็มาช่วยลุงยกด้วยเพราะเกรงใจละกันนะ”

ลุงหลานหยอกกันเล่นสองคน พนักงานคนอื่นๆที่เห็นก็พลางหัวเราะเบาๆ

“แต่เจ้าหนูเชน ดันย้ายมาซะไกลบ้านเลย แถมอยู่คนเดียวอีก.. จะไหวเหรอ ยังเรียนมหาลัยไม่จบเลยด้วยนี่”

คุณลุงถามอย่างห่วงๆ สำหรับคุณลุง การที่เด็กคนนึงย้ายที่อยู่มาเสียห่างไกลบ้านนั้น คงเป็นเรื่องน่ากังวล

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมอีกไม่กี่เดือน ผมก็จะจบแล้ว ผมก็จะดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ”

...

หลังจากย้ายสัมภาระต่างๆเรียบร้อย และพนักงานได้กินน้ำกินท่าเสร็จแล้ว คุณลุงก็บอกลาเด็กหนุ่ม และกลับไปพร้อมกับทีมงานของเขา เชน-ชายที่เพิ่งย้ายบ้านมา จึงออกไปทักทายเพื่อนบ้านสักหน่อย เขาเดินตรวจสอบล็อคประตูและหน้าต่างที่ชั้นบน ขณะกำลังจะออกนอกบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงดัง ปึ้ง! เขารีบวิ่งขึ้นไปเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น เดาว่าคงมีอะไรกระแทกประตูหรือหน้าต่าง หรืออย่างแย่ ก็อาจจะส่วนไหนสักส่วนหลุดออกมาก็ได้ ก็บ้านเก่าแล้วนี่นะ..

เชนตรวจสอบบ้านชั้นบนอย่างละเอียด พื้นทำจากไม้ ขัดมันอย่างดี ถึงแม้จะดูเก่าไปบ้าง แต่เจ้าของเก่าคงดูแลดี เมื่อขึ้นถึงชั้นสอง จะเจอทางแยกไปสองทาง จุดที่ใกล้กับบันไดมากที่สุดเป็นห้องเก็บของ ภายในเป็นห้องค่อนข้างกว้าง ไม่มีของวางนอกจากพัสดุที่พวกพนักงานเพิ่งช่วยกันยกขึ้นมา หน้าต่างสองบานปิดสนิท ไม่มีร่องรอยของการร่วงพังแต่อย่างใด

--ก็ดูปกตินี่นา...หืม?—

เขาคิด ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นกล่อง..ควรจะเรียกว่าหีบทรงสี่เหลี่ยม เสียมากกว่า มันแลดูเก่าคร่ำครึ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขานำมาด้วย หีบแบบนี้ก็ไม่น่าจะใช่อะไรที่คนหนุ่มสาวสมัยนี้จะมีไว้ใช้สอยอยู่แล้ว

--คงของที่เจ้าของเก่าทิ้งไว้กระมัง...— เชนคิดก่อนจะเดินไปดูอีกห้อง

ห้องนี้เป็นห้องนอน อยู่ฝั่งหน้าบ้าน จึงมีประตูเปิดไปเป็นระเบียง มีหน้าต่างสองบาน แน่นอนว่าอยู่ในสภาพดี ห้องนี้เล็กกว่าห้องเก็บของเล็กน้อย เพราะแค่มีเตียงของเขาวางไว้ก็แทบจะเต็มห้องแล้ว ข้างๆห้องนอนเป็นห้องน้ำ ในห้องน้ำโถส้วม และอ่างอาบน้ำที่ดูเก่าเขรอะ และก็เช่นเดียวกันกับห้องที่แล้ว ทุกอย่างดูปกติ เชนจึงไม่ใส่ใจ และออกจากบ้านเพื่อไปทักทายเพื่อนบ้านตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรก

---อ่า..โชคดีจริงๆ ในที่สุดก็หลงมาจนได้สินะ.. ครั้งนี้จะไม่พลาดแน่ๆ---

หลังจากเชนทักทายคนละแวกบ้านไปแล้วหลายหลัง เขาก็เริ่มสังเกตว่า เพื่อนบ้านเหล่านั้นมีท่าทางแปลกๆ เมื่อเชนเข้าไปพูดคุย บ้างก็ยิ้มเฝื่อนๆแล้วพึมพัมเบาๆ บ้างก็ทำหน้าหวาดกลัวแล้วหลบหน้า บ้างก็พยายามจะเตือนอะไรสักอย่าง ก่อนจะก้มหน้าไป แต่คนที่แปลกที่สุดคือคุณยาย ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านคนสุดท้ายที่เขาเข้าไปสนทนา

คุณยายหัวเราะทันทีที่ได้ยินว่าเชนย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังเก่านั้น

“เจ้าหนูคิดยังไงถึงย้ายเข้าบ้านนั้นรึ?”

“เพราะมันถูกครับ แล้วผมก็อยากออกมาใช้ชีวิตคนเดียวด้วยครับ”

“งั้นรึๆ เจ้าหนูได้ยินเรื่องของ “บ้าน” หลังนั้นแล้วสินะ”

“ครับ”

“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ?”

“แน่นอนครับ”

หญิงชราก็หัวเราะเศร้าๆ แล้วเดินจากไป

การที่คนในหมู่บ้านมีท่าทางแปลกๆนั้นมิใช่เรื่องแปลกสำหรับเชน เขาได้ยินเรื่องราวอาถรรพ์ของบ้านหลังนี้ ที่เจ้าของบ้านทุกคนตาย เพราะมีวิญญานร้ายพยายามกลืนกินชีวิตของผู้มาเยือนทุกคน ทำให้ไม่มีใครในพื้นที่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้บ้านหลังนี้ แน่นอนว่ารวมถึงผู้ที่สนใจหาซื้อบ้านด้วยเช่นกัน ผลจึงทำให้ราคาบ้านตกลงไปอย่างมาก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเชน เขาต้องการใช้ชีวิตของเขา เขาใช้เงินเก็บที่ได้มาจากงานพิเศษ และเงินเหลือจากเบี้ยเลี้ยงของเขาทั้งหมด และยืมเงินจากพ่อแม่ส่วนหนึ่ง เพื่อซื้อบ้านหลังนี้ เขายอมลงทุนถึงขั้นนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรก็ตาม สำหรับเขาก็ไม่ต่างกับอุปสรรคเล็กน้อยที่เขาจะต้องข้ามผ่านให้ได้

และนั่นก็เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย..

เชนเมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่า บ้านที่น่าจะทำความสะอาดแล้ว กลับเลอะคราบสีดำๆเต็มไปหมด เชนขยี้ตา โดยหวังในใจว่าคงไม่ต้องมาถูบ้านใหม่ เมื่อลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างก็กลับเป็นบ้านที่สะอาดเหมือนเดิม ไม่มีรอยเปื้อนสีดำๆแต่อย่างใด ใจหนึ่งเชนก็ดีใจที่ไม่ต้องทำความสะอาดใหม่อีกครั้ง อีกใจหนึ่งก็แปลกใจ ว่าสิ่งสกปรกที่เห็นมันคืออะไร แล้วเห็นได้อย่างไร –แต่คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา รีบกินข้าวแล้วไปปั่นงานต่อดีกว่าเรา—

ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!!!

“อีกแล้วเรอะ?” เชนพูดเคืองๆแล้วรีบวิ่งตามเสียงขึ้นไปดูข้างบน แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ

ปึ้ง! เสียงดังมาจากหีบเก่าใบนั้น เชนเดินเข้าไปเปิดหีบอย่างไม่ลังเล..

“แว้กกกก บ้าจริง ตกใจหมด แมลงสาบอะไรบ้าพลังขนาดนี้”

เมื่อเปิดหีบออก ก็มีฝูงแมลงสาบจำนวนมากพุ่งพราดออกมา เชนจึงคิดว่า เป็นแรงของแมลงสาบพวกนี้รึ ที่ทำให้เกิดเสียงดังขนาดนั้น และสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นสมุดเก่าสีออกดำๆ มีเหมือนคราบเลือดแห้งติดอยู่ที่ปก สมุดเล่มนั้นให้ความรู้สึกว่าแค่เห็นก็จะโชคร้าย แต่เขาไม่ใช่คนขวัญอ่อน เขาเลือกที่จะอยู่ที่นี่ เพื่อทำตามฝันของเขา ชายหนุ่มคว้าสมุดมาเปิดอย่างทนุถนอม ไม่แน่ใจว่าเพราะมันเก่า หรือเพราะเป็น “งานเขียน” จึงทำให้เขาบรรจงเปิดทีละหน้าอย่างเบามือ

และนี่คือครั้งแรกในชีวิตของชายหนุ่ม ที่ได้เข้าใจถึงคำว่า “สยองขวัญ” อย่างแท้จริง สมุดบันทึกนี้ เต็มไปด้วยลายมือยึกยือ และภาพประกอบที่วาดแบบหยาบๆ แต่กลับสามารถสื่อความได้ชัดเจน เนื้อหาเป็นเรื่องราวของคนที่มาอยู่อาศัยที่ไหนสักแห่ง แล้วโดนใคร หรือ “อะไร” ทรมาน หลอกหลอน จนสุดท้ายก็ต้องฆ่าตัวตาย ซึ่งเรื่องราวนี้ก็คล้ายกับเรื่องของเจ้าของบ้านเก่าที่เสียชีวิตไป สมุดบันทึกเล่มนี้ ยังมีหน้าเหลือต่อจากฉากสุดท้ายของอดีตเจ้าของบ้าน(ถ้าเข้าใจไม่ผิด) เป็นหน้าว่าง ยังไม่มีข้อความใดๆเขียน เหมือนจะรอคอยเรื่องราวของเจ้าของบ้านคนปัจจุบัน

---เอาล่ะๆ ถึงเวลาแล้วสินะ..---

จู่ๆเชนก็สะดุ้งเฮือก เพราะเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหันกลับไปก็ไม่มีใครชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงตัดสินใจลงไปกินข้าว ตอนที่ลงบันได เชนกลับรู้สึกเหมือนโดนสกัดขา เขาพลาดล้มตกบันไดลงไปนอนคาอยู่ที่พื้นชั้นล่าง แรงกระแทกทำให้เขาน็อคไปสักพัก ก่อนจะตื่นขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ข้อเท้าซ้าย

“อูยย เล่นเอาซะหายหิวข้าวเลยแฮะ”

เขาเดินกะเผลกๆ ไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล แล้วค่อยๆทายา แล้วก็เดินกะเผลกๆไปที่โต๊ะทำงาน งานที่เขาตั้งใจจะทำมาตลอดก็คือการเขียนหนังสือ เขียนทุกประเภทตั้งแต่การ์ตูนสี่ช่อง ไปจนถึงนิยายสืบสวนสอบสวน เขาอ่านหนังสือมาก ทำให้ลีลาการเขียนของเขาดีมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีปัญหามาตลอดอย่างหนึ่งคือ งานเขียนของเขาไม่แสดงถึงความเป็นตัวของเขาเอง ถึงแม้จะสามารถเขียนให้ลื่นไหล หรือสนุกเพียงใด แต่ผลงานนั้นกลับว่างเปล่า ไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกจดจำ ต่างกับเรื่องราวสยองขวัญที่เขียนบนสมุดบันทึกเก่าเล่มนั้น ที่ลีลาการเขียนดูไม่ต่างกับมือสมัครเล่น แต่กลับทรงพลัง เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก หนุ่มน้อยที่จะพยายามตามฝันเพื่อเป็นนักเขียน จุดประกายความอยากเขียน จากสมุดสยองเล่มนั้น

“ต้องเขียนให้ได้..มากกว่านั้น!” เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็เริ่มเขียนโดยไม่หยุดไม่หย่อน จะจนเวลาคล้อยกือบเที่ยงคืน ชายหนุ่มก็ได้พบสัจจะธรรมข้อหนึ่ง..

“...กองทัพ..ต้องเดินด้วยท้องจริงๆสินะ..” จิตวิญญานนักเขียนมอดหมดไปทันที เมื่อกระเพาะไม่มีอะไรเข้ามาตั้งแต่มื้อเที่ยง บวกกับการที่เหนื่อยมาทั้งวัน ทำให้เขาหน้ามืด เวียนหัว เขาพยายามเดินกะเผลกๆไป เมื่อจวนจะถึงถุงอาหารที่ซื้อมา เขาก็ดันล้มเป็นลมไปอีกรอบ

---...ไอ้บ้านี่คงไม่ตายไปก่อนที่เราได้ทำอะไรนะ?..---

เชนลืมตาขึ้นมาอย่างงงงวย ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบกินอะไร ก่อนที่จะฟุบไปอีกครั้ง แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เพราะอาหารที่จืดชืด เพราะทิ้งไว้นานแล้ว บัดนี้ได้กลายเป็นบุฟเฟต์หรูเลิศแก่เหล่าแมลงสาบน้อยใหญ่ไปแล้ว

“ฝูงเดียวกันกับในหีบรึเปล่าเนี่ย....”

เนื่องจากคงทำอะไรมันไม่ได้ และเพราะมันก็แรงเยอะขนาดทำให้หีบมีเสียงออกมาได้ เขาจึงไม่คิดไปรบกวนมัน ตอนนี้เกือบ 6 โมงเช้าแล้ว เขาจึงเดินออกจากบ้านเพื่อไปหาซื้ออะไรกิน

---...ไอ้บ้า แมลงสาบที่ไหนมันจะมีแรงขนาดขยับหีบได้วะ!? จะว่าไปเห็นสมุดเล่มนั้น แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเรอะ!? กลัวหน่อยสิ กลัวหน่อย ถ้าแกไม่กลัวข้าก็สิงร่างไม่ได้น่ะสิ!..---

เชนสวาปามปาท่องโก๋อย่างหิวโหยตรงหน้าร้านปาท่องโก๋ รู้กันแล้วว่าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านอาถรรพ์ ด้วยท่าทางการกินที่เหมือนกับผีเข้า บวกกับขอบตาที่ดำและร่างกายที่ฟกช้ำ ยิ่งทำให้คนแถวนั้นะลือกันไป ต่างๆนานา กระนั้นเชนก็เดินกลับบ้านอย่างอิ่มเอม ระหว่างทางใกล้ถึงบ้าน เขาเห็นอีกาดำมากมายวนเวียนรอบๆบ้าน และยังมีแมวดำวิ่งผ่านหน้าอีก ชาวบ้านที่เห็นเชนเดินมาก็ต่างรีบปิดประตูปิดหน้าต่าง เชนเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดี เมื่อเขามาหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน ก็ยังมีจิ้งจกตกลงมาอีก โบราณว่าหากจิ้งจกตกลงมาตาย จะเป็นการเตือนให้เจ้าของระมัดระวัง ไม่ควรออกจากบ้าน

“แต่นี่มันบ้านผมนะ..จะบอกไม่ให้เข้ามันก็ยังไงๆอยู่นา..” เขาไม่ใส่ใจแล้วกลับเข้าไปเริ่มงานต่อ ทำงานได้สักพักเขาก็ได้ยินเสียงปึ้งๆอีกเหมือนเคย แต่คราวนี้ได้ยินจากใต้ฝ้าเพดานชั้นล่าง เขาจึงค่อยๆแง้มฝ้าดู ไม่เห็นมีแม้แต่แมลงสาบเจ้ากรรม เชนไม่ใส่ใจและกำลังจะไปทำงานต่อ แต่ก็ได้ยินเสียงขึ้นอีกครั้ง เขาเกิดรำคาญ และเปิดฝ้าพรวดขึ้นไป จู่ๆก็มีลมเย็นที่ทำให้รู้สึกไม่ดี พัดซัดเข้าที่หน้าแต่เขาก็ไม่ใส่ใจ และกลับไปทำงานอีกครั้ง

---หา!? นี่แกบ้ารึเปล่าวะเนี่ย? แกใส่ใจกับรอบข้างน้อยไปแล้วมั้ง!? เอาไงดีล่ะ ถ้าตามแผน คืนที่แล้วต้องกระชากผ้าห่ม แล้วทำให้เห็นร่างวิญญานข้านี่นา แต่เจ้าบ้านั่นไม่ยอมแม้แต่จะนอน สุดท้ายก็สลบไปกับพื้น เล่นเอาไม่รู้จะกระชากอะไรดีเลย คืนนี้แต่เดิมต้องคว่ำเก้าอี้ ทำลายข้าวของสักหน่อย แต่ดูท่าเดี๋ยวคงคิดว่าเป็นฝีมือแมลงสาบอีกแน่เลย.. เอ๊ะ.. ทำไมข้าเหนื่อยแปลกๆ?..---

เชนใช้เวลาตลอดช่วงเช้าพยายามเขียนงานต่อ พอเที่ยงก็ไปกินอาหารอย่างตรงเวลา คงเกรงว่าจะเกิดเรื่องแบบเมื่อวานขึ้นกระมัง เมื่อเขากลับมาจากมื้อเที่ยง เขาก็ทำงานของมหาวิทยาลัยจนเสร็จ บ่ายแก่ๆ เขาก็ออกไปซื้อของสำหรับมื้อเย็น และมื้อเช้าของวันต่อไป คราวนี้เขาใส่ไว้ในตู้เย็นเรียบร้อย ไม่พลาดให้แมลงสาบมาแย่งกินอีก

เมื่อกลับมาถึงบ้าน แน่นอนว่ารอบตัวก็มีเรื่องที่ทำให้ขนลุก อยู่มาก แต่เขาก็มานอนตีแผ่บนเตียง ดูยูทูปเพื่อเป็นการพักผ่อนตัวเอง

---งั้นเราควรจะใช้จังหวะนี้...

“ฮัลโหลครับ..”

---หืม? พูดกับข้าเรอะ?---

“ไม่มีปัญหาอะไรครับ งานเขียนของผมก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ การบ้านมหา’ลัยผมก็ทำเสร็จแล้วไม่มีปัญหาครับ”

---อะไรกัน คุยโทรศัพท์เรอะ จะว่าไปสมัยนี้โทรศัพท์บางดีจังแฮะ..---

“ผมตัดสินใจมาแล้วครับ ว่าผมจะทำให้ถึงที่สุด ผมลงทุนขนาดนี้แล้วทำไมพ่อถึงยังไม่เข้าใจล่ะครับ??”

เพราะแกไร้พรสวรรค์ แกไม่มีวันเป็นนักเขียนได้ เลิกงี่เง่าแล้วกลับบ้านมาซะ!

“ไม่ครับ ผมเลือกแล้ว” และเชนก็ตัดสายทันที การแลกเปลี่ยนบทสนทนาสั้นๆนี้ ทำให้สีหน้าดูแย่ไปมากกว่าตอนกินปาท่องโก๋เสียอีก

---...อะไรกัน ถ้ารู้ว่าโดนพูดแบบนี้ใส่จะจิตใจอ่อนแอลงขนาดนั้น ป่านนีเล่นงานไปนานแล้ว..—

สุดท้ายเชนไม่ได้ลุกไปไหน นั่งๆนอนๆอยู่ที่เตียง จนเผลอหลับโดยไม่ได้กินมื้อเย็น..

---...ตื่น ตื่นซะ ตื่นได้แล้ว ตื่นเซ่!!---

เชนสะดุ้งตื่นขึ้นมาตามเสียงแปลกๆ เขาลืมตาขึ้นดูโดยรอบ ไฟไม่ปิด นาฬิกาที่แขวนไว้บอกเวลาว่า 5 ทุ่ม 15 นาที เขานอนอยู่บนเตียง และฝั่งตรงข้ามของเขามีเงาจางๆ โปร่งแสง คล้ายๆคนหากแต่ผิวขาววอกราวกับเลือกรองพื้นผิดเบอร์แล้วทาไปทั้งตัว ยกเว้นบางส่วนที่เหมือนมีสีแดงๆเลือดหมู เหมือนสีลิปสติกที่มีให้เห็นบ่อยๆในห้าง เว้นแต่ลิปสติกนั้นดูข้นๆเหลวๆ คงเป็นลิปสติกคุณภาพต่ำล่ะมั้ง เชนคิด และเขาก็เริ่มแสดงสีหน้าตกใจ

---กว่าจะเริ่มตกใจได้นะ..?---

“ลืมกินข้าวอีกแล้วววววววว!!” และเชนรีบวิ่งลงไปหยิบอาหารออกมาจากตู้เย็น เข้าไมโครเวฟ แล้วเริ่มกินอย่างรวดเร็ว ทำทุกอย่างคล่องแคล่วเสียจน เงาบางที่มาพร้อมเมคอัพแปลกๆเริ่มทำหน้าท้อแท้ แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าเจื่อนๆ

เมื่อเชนกินมื้อค่ำเสร็จ เขาก็เริ่มมีสติมากขึ้น เขามองเงาจางๆนั้นดีๆ แล้วก็พึมพัมขึ้นว่า.....

”วิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี่ไปไกลถึงขนาดทำให้คนตัวจางได้เลยเหรอเนี่ย”

---ใช่ก็บ้าแล้วโว้ยยย ตัวข้านี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้นะ อย่ามาเดามั่วซั่วให้วิทยาศาสตร์ดูก้าวหน้าขนาดนั้นสิ!---

“แล้วคุณเป็นใครล่ะเนี่ย บุกรุกบ้านคนอื่นผิดกฎหมายนะครับ ต่อให้คุณเป็นคนไร้บ้าน แต่ตอนนี้ผมเป็นเจ้าของบ้านนะครับ แอบเข้ามาแบบนี้ก็ยังไงๆอยู่นะครับ”

---แกสติไม่ดีเรอะ! ข้าเนี่ยคือสิ่งที่พวกแกเรียกว่าภูตผีปีศาจ แค่นั้นก็น่าจะเดาได้นี่นา ไอ้ความคิดที่ว่าคนไร้บ้านตัวจางแอบเข้าบ้านมานี่ไปได้มาจากไหน!? มีเหตุผลหน่อยสิ!!---

“ถึงจะบอกให้มีเหตุผล แต่เรียกตัวเองว่าผีก็เถอะ..ไม่คิดว่ามันย้อนแย้งเหรอครับ?”

---อ๊า ข้าไม่อยากพูดกับแกแล้วจริงๆ ข้าพยายามตั้งมากมายเพื่อหาโอกาสสิงร่างแกแท้ๆ แล้วทำไมแกถึงกลับจิตใจไม่อ่อนแอลงเลยล่ะ!? ไม่สิ เมื่อตะกี้นี้ยังจิตตกอยู่เลยนี่นา ทำไมกินข้าวเสร็จแล้วถึงทำท่าทางเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นได้ล่ะ!?---

“...”

---อะไรน่ะท่าทางแบบนั้น? ไม่เชื่อเรอะว่าข้าเป็นผีน่ะ แต่แมลงสาบขยับหีบได้ดันเชื่อเนี่ยนะ สติไม่ดีเรอะ!---

“อ่ะ อย่าบอกนะครับว่าคุณคือคนที่คอยทำเสียงรบกวนผมเรื่อยๆน่ะ ทำแบบนั้นเพื่ออะไรกันครับ!?”

---ข้าไม่ได้จะรบกวน ข้าจะทำให้กลัวต่างหาก การที่จะสิงร่างมนุษย์ตัวเป็นๆได้ จำเป็นต้องทำให้จิตใจอ่อนแอลงก่อน คนที่จิตใจปกติน่ะ พวกข้าไม่สามารถฝืนสิงร่างได้หรอก---

“ถ้าตั้งใจจะทำให้กลัวแล้วทำไมถึงมานั่งคุยกันบนโต๊ะอาหารกับผมแบบนี้ล่ะครับ? แต่จะว่าไปพูดแบบนี้เหมือนคนที่จิตใจไม่ปกติอยู่นะครับ! พูดแบบนี้ไม่ดีนะครับ! ”

---เพราะแกเป็นอย่างนี้ยังไงล่ะ! ทำให้ข้าต้องเปลี่ยนแผน ถ้ามีเวลามาห่วงวิธีพูดของข้าขนาดนั้น ก็เอาไปใช้พัฒนาฝีมือการเขียนของแกหน่อยสิ!---

“อ๊ะ พูดแบบนี้แสดงว่าแอบไปดูผลงานของผมแล้วสินะครับ!? จะแอบอ่านผลงานที่ยังไม่ได้พิมพ์นี่ไม่ค่อยมีมารยาทนะครับ”

---หนวกหูน่า! ข้าเป็นผีโว้ย! แล้วอีกอย่างผลงานแบบนั้นมันไม่ได้พิมพ์หหรอก!---

“... นั่นสินะครับ ครอบครัวผมก็ชอบพูดแบบนั้นอยู่บ่อยๆ..”

---เอ่อ..ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงอย่างนั้น เดี๋ยวนะ.. ทำไมข้าต้องมาห่วงความรู้สึกแกด้วยเนี่ย!?---

“ตอนนี้จิตใจผมอ่อนแอแล้วครับ เชิญเข้าสิงผมเลยครับ”

---โอ๊ย ข้าจะบ้าตายกับความขาดๆเกินๆของแกแล้วนะเนี่ย!---

“แล้วทำไมต้องการจะสิงร่างคนอื่นล่ะครับ? ถึงขนาดต้องทำร้ายคนอื่น เจ้าของบ้านคนก่อนๆก็ถูกคุณทำร้ายใช่มั้ยล่ะครับ?”

---พวกมนุษย์ก็ต่างมีชีวิตอยู่ด้วยการแย่งชิงนี่ แม้แต่เจ้าก็อยู่ด้วยการบั่นทอนของครอบครัว แต่เจ้าก็ยังดึงดันต่อเพราะอยากเป็นนักเขียนไม่ใช่รึ เหตุผลที่ข้าทำก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้ามากนัก และอีกอย่างข้าขอแก้ความเข้าใจผิดหน่อย ข้าไม่เคยทำร้ายใคร แม้แต่เจ้า จริงอยู่ ข้าทำให้คนหวาดกลัวจนจิตใจอ่อนแอ แล้วข้าสิงร่าง แต่ตอนที่ข้าสิงร่าง ข้าก็ไม่ได้ทำร้ายใคร พวกนั้นกลับฆ่าตัวตายไปกันเอง---

“เอ๋ แล้วที่ผมตกบันไดล่ะ?”

---นั่นแกสะดุดเองนี่โว้ย! พลาดแล้วอย่ามาโทษผี โทษพรายสิ! ที่ข้าทำมีแค่ทำเสียง เขียนลงสมุด เป่าลมใส่หน้า แล้วเรียกให้อีกากับแมวดำมาเท่านั้น ส่วนแมลงสาบนั่นอยู่เหนือการควบคุม---

“เดี๋ยวนะครับ คุณเป็นคนเขียนสมุดบันทึกเล่มนั้นเหรอครับ? คุณมาสามารถเขียนได้อีกครั้งไหมครับ??”

---เอ่อ..หา? ได้มันก็ได้อยู่หรอก..---

“แล้วจำเป็นต้องสิงร่างมั้ยครับ เผื่อลายมือจะดีขึ้น?”

---หา!? นี่แกดูถูกกันใช่ไหมวะ ข้าจะเขียนให้มันสวยได้โว้ย แต่ข้าจงใจเขียนยึกยือๆเพื่อให้มันน่ากลัวต่างหาก!---

------

หลังการถกเถียงกันกึ่งมีสาระกึ่งไร้สาระสักพัก เขาก็ได้ข้อสรุปว่า คุณผีนั้นไม่มีชื่อเรียก เชนจึงขอเรียกเขาว่า แจ็ค ถึงแม้ว่าเขาก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก แต่ก็ยอมเพื่อความสะดวกเวลาใช้เรียก

แจ็ค (เดอะ โกสต์) ยังยอมเขียนเรื่องอื่นๆให้เชนลองอ่านดู เพราะเชนบอกต้องการแรงบันดาลใจในการเขียน ในระหว่างที่คุณแจ็คเขียนตัวอักษร (ที่สุดท้ายก็ยังยึกยือเหมือนเดิม) ลงบนสมุดเก่า พวกเขาทั้งสองยังคงพูดคุยกันเรื่อยๆ

“ที่คุณแจ็คพูดว่า มนุษย์อยู่โดยการแย่งชิง ผมว่าก็ไม่ได้ถูกซะทีเดียวหรอกนะครับ อย่างน้อยก็ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนที่การจะมีคนรวยขึ้นมาได้ มักจะอยู่บนความยากจนค่นแค้นของคนอื่น แต่เดี๋ยวนี้ใครๆก็รวยขึ้นมาได้โดยไม่ทำให้ใครจนมากขึ้น แถมบางครั้งอาจทำให้คนอื่นมีโอกาสมากขึ้นด้วยนะครับ พวก SME น่ะครับ”

---ถึงข้าจะตกยุคแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักไอ้ เอ่อ.. SME อะไรนั่น ที่ข้าหมายถึงก็หมายถึงด้านความรู้สึกต่างหากล่ะ---

“เรื่องนั้นก็เหมือนกันครับ ถ้าคุณแจ็คยกตัวอย่างในกรณีผม ผมก็ขอแย้งด้วยกรณีผมละกันครับ การที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ พยายามทำในสิ่งที่ผมชอบ ทำให้คนในครอบครัวรู้สึกไม่ดี แต่นั่นก็เป็นเพราะความคิดของคนในครอบครัวไม่ใช่หรือครับ ถ้าหากพวกเขาคิดว่าการที่ผมได้ออกมาลองสิ่งใหม่ๆเป็นเรื่องที่ดี เขาจะรู้สึกไม่ดีเหรอครับ หรือถ้ายิ่งสนับสนุนเรื่องการเขียนของผม ผมก็คงไม่ย้ายบ้านนี่ครับ”

---กลับกัน ถ้าแกคิดว่าการทำตามพ่อแม่ต้องการเป็นสิ่งที่ดี แกก็จะไม่ต้องทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีไม่ใช่เรอะ?---

“ถึงแม้ว่านั่นจะทำให้ชีวิตของผมไม่มีความสุขน่ะเหรอครับ?”

---นั่นก็ไม่ได้ต่างกันกับคนอื่นในครอบครัวไม่ใช่เรอะ?---

“นั่นสินะครับ..”

---..แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหรอกนะ เจ้าของบ้านคนก่อนน่ะ เขาก็หนีออกจากบ้าน เพราะพ่อหรือแม่ไม่ยอมให้เขาแต่งงานกับคนที่เขารักหรืออะไรเนี่ยแหละมั้ง สุดท้ายอยู่ที่นี่ได้ไม่ทันไร ข้ายังไม่ทันได้สิงร่างก็ดันฆ่าตัวตายไปก่อนซะละ คนก่อนๆก็มีเรื่องคล้ายๆกันนี้เหมือนกัน---

“งั้นเหรอครับ..แล้วตกลงทำไมคุณแจ็คถึงอยากสิงร่างคนล่ะครับ? เท่าที่พูดมา คุณก็ดูจะไม่ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนนี่ครับ แต่ทำไมถึงยังต้องทั้งทำให้กลัว แล้วสิงเขาล่ะครับ?”

---..นั่นสินะ ทั้งคนทั้งผีก็คงย้อนแย้งกันในตัวล่ะมั้ง ข้าไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนหรือทรมานใจ แต่ข้าก็ยังอยากได้ใช้ชีวิตแบบมีกายเนื้อ สามารถกินได้ พูดคุยกับคนอื่นได้ แสดงความเป็นตัวเองได้ ก็ไม่ได้จะสิงตลอดจนเจ้าของร่างตาย ก็แค่สิงไปไม่กี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้นเอง..---

“สิงทุกวันเลยเหรอครับเนี่ย.. แต่ถ้าเช่นนั้น ผมก็มีโอกาสพิสูจน์แล้วล่ะครับว่า คนเราไม่จำเป็นอยู่บนความเจ็บปวดของคนอื่น”

---...แกสติแตกไปแล้วสินะ? อ้อ ไม่สิ แกคงสติแตกไปตั้งแต่คุยกับผี ตั้งชื่อให้ผี แถมให้ผีลองเขียนหนังสือให้ดูอีกต่างหาก..พิสูจน์นี่จะทำยังไง นึกว่าวิวาทะเมื่อกี้ข้าเป็นฝ่ายชนะแล้วซะอีก---

“ผมสามารถให้คุณแจ็คยืมร่างผมได้นะครับ แน่นอนว่าต้องคุยเรื่องเงื่อนไขหลายๆอย่างก่อน..”

---เดี๋ยวก่อนๆๆๆ จะให้ข้ายืมร่างเนี่ยนะ ให้ผียืมร่างเนี่ยนะ?? แกสติไม่ดีเรอะ---

“หยาบคายจังนะครับ คนอุตส่าห์จะให้ยืมร่างแท้ๆ ผมไม่ได้จะให้ยืมฟรีอยู่แล้วล่ะครับ และอีกอย่าง เหตุผลที่คุณต้องการสิงร่างคนอื่นนั้น ก็เหตุผลเดียวกับที่ผมอยากเขียนหนังสือแหละครับ”

---..หมายความว่า?---

“ผมอยากที่จะแสดงถึงความเป็นตัวเองให้คนอื่นรู้ครับ เหมือนคุณแจ็คที่เป็นผี ต้องใช้ร่างกายคนอื่น ส่วนของผมต้องใช้กระดาษและปากกาครับ แต่ปัญหาของผมคือทุกอย่างที่ผมเขียนกลับแทบไม่มีตัวตนของผมอยู่เลย และนั่นคือเงื่อนไขครับ ผมอยากเห็นผลงานของคุณ ผลงานที่เต็มไปด้วยความเป็นคุณ เผื่อสักวัน ผมก็จะสามารถทำได้บ้าง”

---..จะดีเรอะ? จะคิดมุมไหนข้าก็ได้อยู่ฝ่ายเดียวนะ?---

“กลับกัน ผมมองว่าผมเป็นฝ่ายได้ประโยชน์มากกว่านะครับ?”

---ครั้งแรกเลยแฮะที่มีคนมาพูดอย่างนี้ เอ้า เอาไงเอากัน ข้าขอใช้ประโยชน์จากความพิลึกของเจ้าละกัน!---

“ทางนี้ก็เช่นกันครับ ต่อจากนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ คุณแจ็ค”

---เออ ทางนี้ก็ฝากด้วยล่ะ เจ้าหนูเชน!---

__________

ผ่านไป 5 ปี เชนก็กลายเป็นนักเขียนมีชื่อ ที่ประสบความสำเร็จจากผลงานหลายเล่ม จากหนังสือสองประเภท นิยายผจญภัยสนุกสนาน กับ นิยายสยองขวัญ ที่เขียนด้วยนามปากกาสองชื่อ ชื่อหนึ่งคือ เชน และอีกชื่อคือ..แจ็ค เดอะ ฮอนเท็ด (The Haunted).


 

ธงชัย  อัชฌายกชาติ  อายุ 18 ปี 

0 comments

Comments


bottom of page